การหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในการเตรียมลงมาราธอนในช่วงแทพเพอร์

ความถ่วงรั้งที่ทำให้วิ่งมาราธอนในวันจริงออกมาได้ไม่ดี ไม่ได้มีแค่ปัจจัยการฝึกซ้อมเท่านั้น

แม้จะฝึกซ้อมมาดี ฝึกซ้อมถึงระดับ และฝึกซ้อมอย่างเหมาะสมกับตัวตน
คือองค์ประกอบหลัก แต่มีนักวิ่งจำนวนมากได้ละเลยองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆ
ในกิจกรรมการเตรียมตัวลงมาราธอนที่ดี ทำให้การฝึกซ้อมที่ผ่านมา
แสดงศักยภาพที่ถูกลดทอนลงอย่างน่าเสียดาย

ความผิดพลาดที่เห็นบ่อยๆ คือ

1) สำคัญผิดที่เข้าใจว่ากิจกรรมที่บีบเค้นร่างกายมีเพียงการวิ่งเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงดำเนินกิจกรรมช่วงก่อนมาราธอนอย่างไม่รัดกุม นึกจะทำอะไรก็ทำ
โดยไม่มีการวางแผน เช่น การงานอาชีพที่ควรจะแลกเวรออก
จัดตารางเวรที่แบ่งแยกหน้าที่ให้งานเบาลงในช่วง Taper ด้วย
อย่าเข้าใจว่า การ Taper เป็นเพียงการเรียวลงของการซ้อมเท่านั้น

เช่นงานครอบครัว กิจกรรมรับลูกส่งลูกไปโรงเรียน ซื้อกับข้าว ล้างรถยนต์
ขุดดินแต่งสวน ยกตู้ ย้ายเฟอร์นิเจอร์ เฝ้าไข้ลูกป่วย เปลี่ยนกระเบื้องหลังคา
หรือกวาดใบไม้รอบบ้าน แม้ว่าเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญในความรับผิดชอบ
แต่ต้องควรถูกวางแผนจัดหลบหลีกให้พ้นช่วงสำคัญ เอาไปทำ หลังจบเทศกาลมาราธอน
เสียก่อน อย่าเอามาประดังประเดในช่วงนี้

การจะวิ่งให้ได้ดี กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ให้เตรียมตัวมาให้ดี
เตรียมตัวที่ดี คือซ้อมมาดี เอื้อให้ร่างกายมีกิจกรรมที่เบาลง มีจิตใจที่ผ่อนคลาย
ในช่วง Taper เป็นการลดโวลุ่มจังหวะชีวิตลงทุกอย่าง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ
สนามมาราธอนข้างหน้า

จงตระหนักว่า แม้มาราธอนจะเป็นงานที่หนัก และฉันจะพยายามให้เต็มที่
สุดความสามารถ แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกผลมาเช่นไร มันย่อมสวยสดงดงามเสมอไป
(ยังมีต่อ)

2) ความผิดพลาดของนักมาราธอนช่วง Taper จำนวนมาก
ในอีกด้านหนึ่งก็คือ การพักใช้ร่างกายมากเกินไป
การ Taper ไม่ได้หมายความว่ายุติกิจกรรมการซ้อมลงโดยสิ้นเชิง
แต่มันเป็นการแผ่วจางการซ้อมลงทีละน้อยเพื่อการคืนสด จ
นหยุดสนิม 2 – 3 วัน ก่อนแข่ง

การ Taper คือการแผ่วจางแบบแผนการฝึกลงที่เหมาะสมกับตัวเอง
อันเกิดจากการหยั่งถึงระดับที่เหมาะสมของตัวเองดู
นักวิ่งแต่ละคนจะมีระดับตอบสนองการ Taper ไม่เท่ากัน
บางคนพักมากๆดี บางคนพักมากกลับออกมาไม่ดี

จงลองดูให้พบความเป็นตัวของตัวเอง และจดจำไว้
กลับมาทำบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมใด อีกด้านมุมตรงข้าม

ตัวอย่างที่ 1
ของการ Taper ที่เหมาะสมสำหรับระยะมาราธอนมีดังนี้

“การซ้อมที่เข้มข้นที่สุด หรือหนักครั้งสุดท้ายควรอยู่ที่สองสัปดาห์
ก่อนแข่ง โดยที่สัปดาห์แรกควรปรับลดโวลุ่มลงครึ่งหนึ่ง
ในด้านระยะทาง และระยะเวลาฝึก แต่คงความเร็วเท่าเดิม
ส่วนในสัปดาห์ที่ 2 ต้นสัปดาห์ให้ลดจากที่ลดลงไปแล้วอีกครึ่งหนึ่ง
คือคงเหลือระดับความเข้มข้นจากการฝึกเหลือเพียง 25 %
ของจุดที่เคยหนักที่สุด ส่วนที่เหลือ 2 – 4 วันสุดท้าย ให้หยุดสนิท”

ตัวอย่างที่ 2
ของการ Taper ที่เหมาะสม คือ

“ให้ทยอยลดโวลุ่มลง 20 – 30 % ใน 2 สัปดาห์สุดท้าย
และที่เหลือ 3 วันสุดท้ายก่อนแข่งให้หยุดการฝึกซ้อมวิ่งใดๆ
คงเหลือแต่การยืดเส้นนานประมาณครึ่งช.ม. เป็นต้น

ตัวอย่างคือ นักวิ่งในช่วง Taper ก่อนแข่งรายหนึ่ง
ออกทริปจักรยานทางไกลในช่วงมาราธอน แทพเพอร์
กับกลุ่มนักปั่น

เป็นตัวอย่างที่ผิดพลาดในการที่จะใช้เวลาช่วงใกล้แข่งขันให้เป็น
ประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพชั้นสุดท้าย
เป็นความผิดพลาดขั้นเอกอุ ทั้งๆที่เป็นขาเก่า วิ่งและปั่นมาหลายปี
ว่าให้ถึงที่สุด ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ในเบื้องหลังที่ลึกกว่าของกิจกรรม
มาราธอนและการขี่ปั่น คือการอาศัยกิจกรรมออกกำลังเหล่านี้
เป็นเครื่องมือแสดงออกอวดศักดาความเก๋า ให้คนรู้ว่า
“ของแค่นี้ สบายมาก” หรือเปล่า ที่มันกลับกลายเป็นอีกด้านหนึ่ง
ของการเปรอปรนอัตตาที่น่าปลาบปลื้มกับตัวเองเพียงฝ่ายเดียว

สิ่งที่น่าจะเป็นโอกาสให้ฉกฉวยฝึกฝนในสายตาของผู้เขียนต่อกรณีอย่างนี้ก็คือ
การฝึกอ่อนน้อมถ่อมตัวควบคู่ไปกับการฝึกร่างกายเราด้วย
แม้ว่าใครจะปรามาสคาดหวังในตัวเราผิดไปจากที่เป็นจริง
ในทางอ่อนด้อย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ให้ตัวเราไปอวดให้เขารู้ว่า
“ฉันแน่กว่าที่นายคิด” สิ่งที่เราควรทำคือการปฏิบัติตัวที่เราเองเท่านั้น
ที่จะรู้ดีว่าคืออะไร ไม่ใช่เพื่อการยอมรับจากผู้คน
โตแล้ว ควรมองอะไรให้ทะลุมากกว่าปรากฏการณ์ฉาบฉวย
ลัดตรงเข้าสู่สาระ

การวิ่งเป็นกิจกรรมที่ง่ายมากในการทำความเข้าใจ
ที่จะสืบขาและเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้า และอีกข้างไปข้างหลัง
สลับกันไปมา เพื่อเคลื่อนย้ายร่างกาย เป็นงานที่อาศัยเวลา
ในการเรียนรู้เพียง 1 นาที แต่ถ้าจะให้เชี่ยวชาญ ทำให้แข็งแรงอดทน
อย่างยาวไกลได้เวลาที่ดีตามฐานของตนเอง ในสภาพที่จิตใจและ
อารมณ์น่ารัก น่าเลื่อมใส เป็นแบบอย่างที่ดีกับนักวิ่งรุ่นน้อง
อย่างนี้ต้องพัฒนาการวิ่ง ฝึกฝนทั้งร่างกาย และจิตใจตลอดชีวิต

ที่ผ่านมา ความผิดพลาดส่วนใหญ่ที่ได้ยินได้ฟังมา
ไม่ได้เกิดจากการดำเนินกิจกรรมออกกำลังกายตามคำแนะนำเหล่านี้
อย่างหละหลวม แต่เป็นการผิดเพี้ยนหลุดไปจากที่น่าจะเป็นอย่างมากมาย

ประเทศไทยของเรามีอะไรแปลกๆ ไม่เพียงแต่นักวิ่งแนวหน้า
จะสู้ต่างชาติไม่ได้ในกีฬาวิ่ง ที่ห่างชั้นกันเยอะ
นักวิ่งแนวหลังไทยก็ยังล้มเหลวในการไปให้ถึงที่สุดของความสามารถ
ด้วยว่าต้องแบ่งความ Peak เต็มที่ของร่างกายที่มีอยู่ไปกับกิจกรรมที่
ไม่รอบคอบ ผ่านทัศนคติที่ไม่เหมาะสมชุดหนึ่ง อย่างไม่เคยเรียนรู้
สรุปบทเรียนใดๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับเชี่ยวชาญในการแสวงหา
ข้อแก้ตัวต่างๆต่อการละเลยที่ผ่านมา แต่ไม่ปรับตัว ลงมือแก้ไข สู่การเปลี่ยนแปลงใดๆ

ใครที่รู้ตัว อ่อนน้อมถ่อมตน สรุปข้อผิดพลาด จดจำบทเรียน
ก็จะก้าวหน้ากับมาราธอนได้ดี….. มันก็เป็นอย่างนั้นเอง.

0
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณได้นะครับx
X